Peet's Family
บทที่ ๖ - ครอบครัวของเพชร
เลิกเรียนแล้ว วีระแยกทางกับเพื่อน ๆ เดินกลับ
บ้านคนเดียว วันนี้จิตใจเขาเบิกบาน เขาเดินพลางมอง
ดูท้องฟ้าสีครามสดใส มีเมฆสีขาวดังใยสำลีลอยสลับ
ซับซ้อนอยู่ที่ขอบฟ้า ลมพัดเย็นสบายใบหญ้าเขียวชอุ่มข้าง
ทางเอนลู่ตามลม ทางสายนี้ทอดยาวจากตัวอำเภอถึงชาย
ทุ่งเชิงเขา ใคร ๆ มักจะพูดว่ามันเปลี่ยวจนหน้ากลัว แต่
วีระคุ้นกับทางสายนี้ตั้งแต่เล็กจนโต เขาจึงรู้สึกว่าระยะ
ทางจากโรงเรียนถึงบ้านเขาดูใกล้นิดเดียว และตามริม
ถนนมีบ้านของชาวสวนอยู่กันเป็นระยะ ๆ ทำให้หาย
เปลี่ยว ที่จริงวีระอยากจะมีเพื่อนไว้เดินคุยแก้เหงาสักคน
หนึ่ง เขาเคยใฝ่ฝันว่าจะมีรถจักรยานสักคัน แต่เขาก็เตือน
ตัวเองว่า อย่าหลงใหลฟุ้งเฟ้อ เพราะเขาเป็นแต่เพียงเด็ก
จน ๆ อาศัยลุงอยู่ แม้ลุงจะรักใคร่เอ็นดูเขาสักปานใด เขา
ก็มิกล้าที่จะรบกวนลุงให้มากกว่านี้ เขาคิดว่าเขาควรพยายาม
หาเงินในทางสุจริต เพื่อซื้อจักรยานด้วยตนเอง
พอใกล้ถึงสวนของลุง วีระแลเห็นหญิงคนหนึ่งนั่ง
ให้ลูกกินนมอยู่ใต้ต้นมะกอก มีลูกหญิงและลูกชายเล็ก ๆ
หน้าตามอมแมมนอนหลับอยู่เคียงกัน ข้าง ๆ หญิงคนนั้น
มีข้าวของเครื่องใช้เก่า ๆ วางเรียงรายอยู่ มี จาน ชาม
สังกะสี ช้อน ขวดน้ำปลา ถ้วยพลาสติก และมีหม้อข้าว
ใบใหญ่ขนาดเท่าบาตรพระกลิ้งอยู่ใบหนึ่ง มีลังใส่ของสอง
ลัง ถัดมาเขาเห็นชายคนหนึ่งกับเด็กชายสองคน คนหนึ่ง
โตขนาดเดียวกับเขา ส่วนอีกคนหนึ่งเล็กกว่านิดหน่อย
พวกเขากำลังช่วยกันใช้หญ้าคามุงหลังคากระท่อมเล็ก ๆ
ซึ่งมีขนาดกว้างยาวประมาณสามเมตรอยู่อย่างขะมักเขม้น
วีระจึงหยุดยืนดูแล้วถามว่า “น้าจะสร้างกระท่อมอยู่ตรงนี้หรือ
ครับ” ชายคนนั้นหยุดทำงานแล้วหันมามองวีระอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วหันกลับลงมือทำงานใหม่ ทำเหมือนคนใบ้ วีระจึงถาม
หญิงที่นั่งให้นมลูกอยู่ใต้ต้นมะกอกอีก หญิงนั้นเห็นวีระมี
ท่าทางเป็นมิตรก็ยิ้มให้ พลางตอบเบา ๆ ว่า “ใช่” วีระ
นั่งลงใกล้ ๆ จึงเห็นว่าหญิงนั้นซูบซีด ลูก ๆ ก็ผอมเซียว
เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง มองส่วนใดก็มีแต่รอยปะรอยชุน
วีระพูดว่า “น้ามีลูกห้าคน แต่สร้างบ้านเล็ก ๆ จะพออยู่
หรือครับ”
“อยู่กันเบียดหน่อย พวกข้าเป็นคนจน สมบัติก็มีอยู่
แค่นี้เอง กระท่อมเล็ก ๆ ก็พออยู่” หญิงนั้นตอบ
“บ้านของผมในสวนใกล้ ๆ นี่เอง ผมอยู่กับญาติ
มีลุงกับป้าสะใภ้และอากับอาสะใภ้ ผมชื่อวีระครับ”
หญิงคนนั้นมองดูวีระอย่างพิจารณา แล้วว่า “พวก
ข้าอพยพมาจากตำบลอื่น มาเร่ร่อนอยู่ที่นี่หกวันแล้ว เพิ่ง
มีเอ็งนี่แหละพูดดีกับข้าเป็นคนแรก ท่าทางเอ็งเป็นคนมี
อัธยาศัยดี พวกข้าอดอยาก หากินฝืดเคือง เห็นที่นี่มีป่า
พออาศัยเผาถ่านขายได้บ้าง จึงคิดสร้างกระท่อมอยู่ เอ็งคง
จะมีอายุเท่า ๆ กับเจ้าเพชรลูกคนโตของข้าที่กำลังช่วยพ่อ
ของเขาสร้างกระท่อมอยู่นั่นแหละ”
พอวีระรู้ว่าครอบครัวนี้จะมาอยู่เพื่อเผาถ่านขายก็หน้า
เสีย คิดในใจว่าป่าแถบนี้น่าจะหมดคราวนี้เอง เขาควรจะ
รีบบอกให้ลุงรู้โดยรีบด่วน พอดีเพชรเดินเขามากระโชก
ถามวีระว่า “แกจะมาหาเรื่องกับพวกข้าหรือ พ่อกับแม่
ของข้ามีบัตรประชาชนนะ”
“หยุดนะเจ้าเพชร! เขาพูดดีกับแม่นะ ผิดกับคนที่
มาถามเรื่องบัตรประชาชนนั่นมาก” แม่ของเพชรบอก
เพชรจึงยิ้มกับวีระแล้วพูดเบา ๆ ว่า “นึกว่าแกมาขู่แม่ข้า
เหมือนเจ้าคนก่อน ข้าจะชกเสียให้คว่ำ” แล้วเขาก็
ทำงานต่อ
วีระนั่งดูเพชรทำงานอยู่ครู่หนึ่ง ก็ลาแม่ของเพชร
กลับบ้าน เขาคิดว่าครอบครัวนี้คงเรียนหนังสือมาน้อย จึง
พูดจา ข้า เอ็ง แก วีระรู้สึกชอบเพชรมาก ถ้าเพชร
เรียนหนังสือ เขาคงจะพูดฉัน เธอ และพูดจาเพราะหู
กว่านี้
บ้านคนเดียว วันนี้จิตใจเขาเบิกบาน เขาเดินพลางมอง
ดูท้องฟ้าสีครามสดใส มีเมฆสีขาวดังใยสำลีลอยสลับ
ซับซ้อนอยู่ที่ขอบฟ้า ลมพัดเย็นสบายใบหญ้าเขียวชอุ่มข้าง
ทางเอนลู่ตามลม ทางสายนี้ทอดยาวจากตัวอำเภอถึงชาย
ทุ่งเชิงเขา ใคร ๆ มักจะพูดว่ามันเปลี่ยวจนหน้ากลัว แต่
วีระคุ้นกับทางสายนี้ตั้งแต่เล็กจนโต เขาจึงรู้สึกว่าระยะ
ทางจากโรงเรียนถึงบ้านเขาดูใกล้นิดเดียว และตามริม
ถนนมีบ้านของชาวสวนอยู่กันเป็นระยะ ๆ ทำให้หาย
เปลี่ยว ที่จริงวีระอยากจะมีเพื่อนไว้เดินคุยแก้เหงาสักคน
หนึ่ง เขาเคยใฝ่ฝันว่าจะมีรถจักรยานสักคัน แต่เขาก็เตือน
ตัวเองว่า อย่าหลงใหลฟุ้งเฟ้อ เพราะเขาเป็นแต่เพียงเด็ก
จน ๆ อาศัยลุงอยู่ แม้ลุงจะรักใคร่เอ็นดูเขาสักปานใด เขา
ก็มิกล้าที่จะรบกวนลุงให้มากกว่านี้ เขาคิดว่าเขาควรพยายาม
หาเงินในทางสุจริต เพื่อซื้อจักรยานด้วยตนเอง
พอใกล้ถึงสวนของลุง วีระแลเห็นหญิงคนหนึ่งนั่ง
ให้ลูกกินนมอยู่ใต้ต้นมะกอก มีลูกหญิงและลูกชายเล็ก ๆ
หน้าตามอมแมมนอนหลับอยู่เคียงกัน ข้าง ๆ หญิงคนนั้น
มีข้าวของเครื่องใช้เก่า ๆ วางเรียงรายอยู่ มี จาน ชาม
สังกะสี ช้อน ขวดน้ำปลา ถ้วยพลาสติก และมีหม้อข้าว
ใบใหญ่ขนาดเท่าบาตรพระกลิ้งอยู่ใบหนึ่ง มีลังใส่ของสอง
ลัง ถัดมาเขาเห็นชายคนหนึ่งกับเด็กชายสองคน คนหนึ่ง
โตขนาดเดียวกับเขา ส่วนอีกคนหนึ่งเล็กกว่านิดหน่อย
พวกเขากำลังช่วยกันใช้หญ้าคามุงหลังคากระท่อมเล็ก ๆ
ซึ่งมีขนาดกว้างยาวประมาณสามเมตรอยู่อย่างขะมักเขม้น
วีระจึงหยุดยืนดูแล้วถามว่า “น้าจะสร้างกระท่อมอยู่ตรงนี้หรือ
ครับ” ชายคนนั้นหยุดทำงานแล้วหันมามองวีระอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วหันกลับลงมือทำงานใหม่ ทำเหมือนคนใบ้ วีระจึงถาม
หญิงที่นั่งให้นมลูกอยู่ใต้ต้นมะกอกอีก หญิงนั้นเห็นวีระมี
ท่าทางเป็นมิตรก็ยิ้มให้ พลางตอบเบา ๆ ว่า “ใช่” วีระ
นั่งลงใกล้ ๆ จึงเห็นว่าหญิงนั้นซูบซีด ลูก ๆ ก็ผอมเซียว
เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง มองส่วนใดก็มีแต่รอยปะรอยชุน
วีระพูดว่า “น้ามีลูกห้าคน แต่สร้างบ้านเล็ก ๆ จะพออยู่
หรือครับ”
“อยู่กันเบียดหน่อย พวกข้าเป็นคนจน สมบัติก็มีอยู่
แค่นี้เอง กระท่อมเล็ก ๆ ก็พออยู่” หญิงนั้นตอบ
“บ้านของผมในสวนใกล้ ๆ นี่เอง ผมอยู่กับญาติ
มีลุงกับป้าสะใภ้และอากับอาสะใภ้ ผมชื่อวีระครับ”
หญิงคนนั้นมองดูวีระอย่างพิจารณา แล้วว่า “พวก
ข้าอพยพมาจากตำบลอื่น มาเร่ร่อนอยู่ที่นี่หกวันแล้ว เพิ่ง
มีเอ็งนี่แหละพูดดีกับข้าเป็นคนแรก ท่าทางเอ็งเป็นคนมี
อัธยาศัยดี พวกข้าอดอยาก หากินฝืดเคือง เห็นที่นี่มีป่า
พออาศัยเผาถ่านขายได้บ้าง จึงคิดสร้างกระท่อมอยู่ เอ็งคง
จะมีอายุเท่า ๆ กับเจ้าเพชรลูกคนโตของข้าที่กำลังช่วยพ่อ
ของเขาสร้างกระท่อมอยู่นั่นแหละ”
พอวีระรู้ว่าครอบครัวนี้จะมาอยู่เพื่อเผาถ่านขายก็หน้า
เสีย คิดในใจว่าป่าแถบนี้น่าจะหมดคราวนี้เอง เขาควรจะ
รีบบอกให้ลุงรู้โดยรีบด่วน พอดีเพชรเดินเขามากระโชก
ถามวีระว่า “แกจะมาหาเรื่องกับพวกข้าหรือ พ่อกับแม่
ของข้ามีบัตรประชาชนนะ”
“หยุดนะเจ้าเพชร! เขาพูดดีกับแม่นะ ผิดกับคนที่
มาถามเรื่องบัตรประชาชนนั่นมาก” แม่ของเพชรบอก
เพชรจึงยิ้มกับวีระแล้วพูดเบา ๆ ว่า “นึกว่าแกมาขู่แม่ข้า
เหมือนเจ้าคนก่อน ข้าจะชกเสียให้คว่ำ” แล้วเขาก็
ทำงานต่อ
วีระนั่งดูเพชรทำงานอยู่ครู่หนึ่ง ก็ลาแม่ของเพชร
กลับบ้าน เขาคิดว่าครอบครัวนี้คงเรียนหนังสือมาน้อย จึง
พูดจา ข้า เอ็ง แก วีระรู้สึกชอบเพชรมาก ถ้าเพชร
เรียนหนังสือ เขาคงจะพูดฉัน เธอ และพูดจาเพราะหู
กว่านี้
Definition
© Learn2SpeakThai.net (2009 - 2013)